ขณะที่สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ (USGS) รายงานว่า แผ่นดินไหวครั้งแรกวัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.4 ริกเตอร์ และแผ่นดินไหวครั้งที่สอง ซึ่งเกิดขึ้นในเวลาเพียง 11 นาทีต่อมา วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.3 ริกเตอร์
เมื่อเจ้าหน้าที่กู้ภัยยุติการค้นหาผู้รอดชีวิตเมื่อวันจันทร์ที่ ผ่านมา ทางการอิหร่านระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 306 คน และมีผู้บาดเจ็บกว่า 3,000 คน ขณะที่ประชาชนประมาณครึ่งแสนคนต้องกลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัย
ประกาศกร้าว! ไม่รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ
ก่อนที่จะเกิดธรณีพิบัติภัยครั้งใหญ่นี้
อิหร่านกำลังถูกสหรัฐอเมริกาและบรรดาประเทศพันธมิตรคว่ำบาตรอย่างหนัก
หน่วงเพื่อกดดันให้อิหร่านยุติโครงการนิวเคลียร์
ซึ่งการคว่ำบาตรมีหลายระลอก อาทิ เมื่อช่วงปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา
การคว่ำบาตรพุ่งเป้าไปที่สถาบันการเงินของประเทศที่ซื้อน้ำมันจาก
อิหร่าน ต่อมาเมื่อต้นเดือนก.ค. สหภาพยุโรป (อียู)
ก็คว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันจากอิหร่าน ล่าสุดเมื่อต้นเดือนส.ค.
ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐ
ได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อภาคธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมี
ของอิหร่าน เป็นต้น ถึงกระนั้นอิหร่านก็ไม่ได้สะทกสะท้าน
ซ้ำยังตอบโต้อย่างแข็งกร้าวด้วยการข่มขู่ว่าจะปิดช่องแคบฮอร์มุซซึ่ง
เป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันบ้าง จะระงับการส่งออกน้ำมันบ้าง ท่าทีแบบ
“ยอมหักไม่ยอมงอ"
ของอิหร่านจึงเป็นที่คุ้นเคยของประชาคมโลกเป็นอย่างดีในเหตุการณ์ครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้อิหร่านจะได้รับความเสียหายอย่างหนักจากแผ่นดินไหว ประชาชนได้รับความเดือดร้อนหลายหมื่นคน อิหร่านก็ยังมีท่าทีแข็งกร้าวและประกาศอย่างทะนงตนว่า “ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากต่างประเทศ" และเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อิหร่านได้ส่งหน่วยกู้ภัยจากตุรกีที่เดินทางเข้าไปในอิหร่านกลับไป โดยไม่ได้ประสานล่วงหน้า
เปลี่ยนท่าที ขณะที่นานาชาติพร้อมช่วยเหลือ
อย่างไรก็ดี เพียง 1
วันหลังจากประกาศว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากภายนอก
อิหร่านก็เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยนายโมฮัมหมัด เรซา
ราฮิมี รองประธานาธิบดีคนที่ 1 ของอิหร่าน
ได้ประกาศว่าอิหร่านพร้อมรับความช่วยเหลือจากนานาชาติสำหรับประชาชนที่
ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวในจังหวัดอาเซอร์ไบจันตะวันออก
หลังจากที่เขาได้ลงพื้นที่ประสบภัยเพื่อสำรวจความเสียหาย
แต่นายราฮิมีก็ยังให้เหตุผลแบบไว้เชิงว่า
“อิหร่านได้ให้ความช่วยเหลือประเทศอื่นๆเมื่อครั้งที่ประสบภัยพิบัติ
มาแล้ว
และขณะนี้อิหร่านก็พร้อมรับความช่วยเหลือจากนานาประเทศเพื่อช่วย
เหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว"ประเทศแรกๆที่ออกมาเสนอความช่วยเหลือให้แก่อิหร่านไม่ใช่ใคร ที่ไหน แต่เป็นไม้เบื่อไม้เมาอย่างสหรัฐอเมริกานั่นเอง โดยประธานาธิบดีโอบามาแห่งสหรัฐได้เปิดไฟเขียวให้ชาวอเมริกันส่ง ความช่วยเหลือไปให้แก่ชาวอิหร่านที่ประสบภัยได้โดยไม่ต้องขอใบ อนุญาตทำธุรกรรมกับอิหร่าน โดยนางวิกตอเรีย นูแลนด์ โฆษกประจำกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ ได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า “สหรัฐต้องการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวอิหร่านในระหว่าง นี้ โดยอาจให้มีการบริจาคอาหารและยาโดยไม่ต้องขอใบอนุญาตการทำธุรกรรม กับอิหร่าน"
ขณะเดียวกันอียูก็ประกาศให้ความช่วยเหลืออิหร่านเช่นกัน โดยแคธรีน เรย์ โฆษกคณะกรรมาธิการเพื่อการพัฒนาของอียู กล่าวว่า อียูพร้อมให้ความช่วยเหลือหากรัฐบาลหรือสภาเสี้ยววงเดือนแดงของ อิหร่านร้องขอ
พลิกวิกฤตเป็นโอกาส
สหรัฐกับอิหร่านไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน
และมีปัญหาขัดแย้งกันมานานหลายสิบปีแล้ว
โดยเฉพาะกรณีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
ดังนั้นการที่สหรัฐได้มีโอกาสแสดงมิตรจิตมิตรใจต่ออิหร่านบ้างก็ถือ
เป็นโอกาสดีที่อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศพัฒนาไปในทิศทาง
ที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี ความช่วยเหลือที่สหรัฐเสนอให้อิหร่านนั้น
ดูจะยังไม่เป็นรูปธรรมนัก
เพราะสุดท้ายแล้วสหรัฐก็ยังไม่ยกเว้นมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินต่อ
อิหร่าน ซึ่งห้ามธนาคารสหรัฐทำธุรกรรมกับธนาคารกว่า 10 แห่งของอิหร่าน
ทำให้ชาวอเมริกันเชื้อสายอิหร่านในสหรัฐและประชาชนทั่วไปไม่สามารถ
โอนเงินเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในอิหร่านได้
ทั้งที่ความช่วยเหลือทางการเงินเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
เพราะภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทำให้อิหร่านได้รับความเสียหายคิดเป็น
มูลค่ากว่า 600 ล้านดอลลาร์หากสหรัฐจริงใจที่จะช่วยเหลืออิหร่านจริงก็ควรยกเลิกมาตรการคว่ำ บาตร อย่างน้อยก็เป็นการชั่วคราว เพื่อเปิดโอกาสให้อิหร่านได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และหากอิหร่านรู้สึกได้ว่าได้รับไมตรีจิตอย่างแท้จริง อิหร่านก็อาจเปิดใจให้กับสหรัฐมากขึ้น อันจะนำไปสู่การเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาทด้านนิวเคลียร์ระหว่างทั้งสอง ฝ่าย รวมถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อไป แม้ว่าจะเป็นเพียงก้าวเล็กๆก็ตาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น